วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Nationnal geographic ธันวา 2555

 
Nationnal geographic
 
 
ก๊าซธรรมชาติ
 
 



แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลอด ผ่านดงสนสปรูซที่มีหิมะปกคลุมตามริมฝั่งทะเลสาบโกลด์สตรีม        นอกเมืองแฟร์แบงส์ รัฐอะแลสกา เหนือท้องทะเลสาบ แคทีย์ วอลเตอร์ แอนโทนี นักนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัยอะแลสกา แฟร์แบงส์ เพ่งมองแผ่นน้ำแข็งสีดำคล้ำใต้เท้าของเธอ  และ พรายฟองสีขาวที่ถูกกักอยู่ข้างในซึ่งมีทั้งเล็กและใหญ่ซ้อนกันหลายชั้น วอลเตอร์ แอนโทนี คว้าเหล็กเจาะน้ำแข็งหนักอึ้ง ขณะที่นักศึกษาปริญญาโทอีกคนจุดไม้ขีดรอไว้เหนือฟองอากาศขนาดใหญ่ฟองหนึ่ง วอลเตอร์ แอนโทนี กระแทกเหล็กเจาะน้ำแข็งลงไป
          ก๊าซที่พุ่งออกมาติดไฟ   พึ่บ   จนเธอผงะถอยหลัง เปลวไฟยืนยันว่าพรายฟองเหล่านั้นคือมีเทน    ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของก๊าซธรรมชาติ วอลเตอร์ แอนโทนี ใช้การนับและวัดเพื่อคะเนปริมาณก๊าซมีเทนที่ผุดขึ้นมาจากทะเลสาบนับล้านแห่ง ที่ตอนนี้กินพื้นที่เกือบหนึ่งในสามของภูมิภาคอาร์กติก ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาทวีปอาร์กติกอบอุ่นขึ้นเร็วกว่าพื้นที่ส่วนอื่นของ โลกอย่างมาก และเมื่อชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (permafrost) ละลาย ทะเลสาบเดิมก็ขยายตัว ขณะที่ทะเลสาบใหม่ๆก่อตัวขึ้น ฟองมีเทนผุดจากพื้นเลนก้นทะเลสาบในลักษณะที่ยากจะระบุปริมาณได้ ต้องรอให้น้ำในทะเลสาบเริ่มจับตัวแข็งในฤดูใบไม้ร่วง จึงพอจะเห็นภาพคร่าวๆของการปล่อยมีเทนจากทะเลสาบแต่ละแห่งได้
          มีเทน คือสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เล็กที่สุด           โดยประกอบด้วยคาร์บอนหนึ่งอะตอมและไฮโดรเจนสี่อะตอม จุลินทรีย์จะผลิตมีเทนเมื่อกินหรือย่อยสลายซากพืชภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปียก ชื้นและมีออกซิเจนต่ำ   นี่คือแหล่งที่มาของมีเทนที่ผุดขึ้นจากทะเลสาบโกลด์สตรีม หนองบึงทั่วไป ไร่นาที่มนุษย์เพาะปลูก พื้นที่ฝังกลบขยะ และบ่อปฏิกูลต่างๆ รวมทั้งจากกระเพาะของวัวควายและสัตว์เคี้ยวเอื้องอื่นๆ ปลวกก็ปล่อยมีเทนไม่ใช่น้อยเช่นกัน
          ทว่า ก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ที่เรานำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงไม่ได้เกิดจาก จุลินทรีย์       แต่เกิดจากความร้อนและแรงดันใต้ดิน เช่นเดียวกับน้ำมันและถ่านหิน และมักพบในแหล่งเดียวกันด้วย สำหรับเหมืองถ่านหิน มีเทนคือก๊าซอันตรายที่อาจก่อให้เกิดการระเบิด ขณะที่แหล่งขุดเจาะน้ำมันมองว่า มีเทนคือผลพลอยได้น่ารำคาญที่ต้องเผาทิ้ง หรือแย่กว่านั้นคือปล่อย สู่ชั้นบรรยากาศโดยตรง ครั้นเมื่อท่อส่งน้ำมันที่สร้างขึ้นในช่วงอุตสาหกรรมก่อสร้างเฟื่องฟูหลัง สงครามโลกครั้งที่สองเอื้อให้การขนส่งก๊าซทำได้ง่ายขึ้น ธุรกิจพลังงานจึงเริ่มใช้ประโยชน์จากแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่
          สหรัฐฯ ผลิตก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ได้เอง แต่พอถึงปี 2005 ก๊าซธรรมชาติก็ดูเหมือนร่อยหรอลง แต่แล้วเทคโนโลยีการขุดเจาะก๊าซด้วยแรงดันน้ำ (hydraulic fracturing) หรือที่เรียกสั้นๆว่า “แฟรกกิ้ง” (fracking) กลับช่วยพลิกสถานการณ์  นับ ตั้งแต่ปี 2005 การผลิตก๊าซจากหินดินดานที่อยู่ลึกลงไปเพิ่มขึ้นกว่าสิบเท่า และตอนนี้ก็คิดเป็นสัดส่วนเกินหนึ่งในสามของกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติทั้ง หมด
          ความ เฟื่องฟูของเทคโนโลยีแฟรกกิ้งย้อนกลับไปถึงทศวรรษ 1980 ในรัฐเทกซัส ที่ซึ่งจอร์จ มิตเชลล์ “นักล่าน้ำมัน”   เริ่มสำรวจหมวดหินดินดานบาร์เนตต์ (Barnett Shale)   เรา รู้มานานแล้วว่า หินดินดานสีดำหรือชั้นโคลนอัดแน่นของทะเลโบราณคือหมวดหินอันเป็นแหล่งกำเนิด ของน้ำมันปิโตรเลียม ทว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานของธรณีกาล น้ำมันและก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ไหลไปสะสมอยู่ตามรูพรุนและโพรงในหินทรายซึ่ง อุตสาหกรรมน้ำมันเลือกไปตั้งบ่อขุดเจาะ บ่อที่ตั้งอยู่บนหินดินดานให้ผลผลิต ต่ำ เพราะเนื้อหินแน่นเกินไปจนก๊าซไหลผ่านได้ยาก
          วิธี แก้ปัญหาของมิตเชลล์ซึ่งพัฒนาขึ้นในช่วง 20 ปีโดยมีกระทรวงพลังงานสหรัฐฯให้การสนับสนุน กลายเป็นสูตรสำเร็จที่นำไปสู่ความแพร่หลายของเทคโนโลยีขุดเจาะก๊าซด้วยวิธี แฟรกกิ้ง โดยเริ่มจากการขุดเจาะลงไปจนถึงชั้นหินดินดาน แล้วทะลวงหินออกไปในแนวราบเป็นระยะทางราว 1.6 กิโลเมตร เพื่อเปิดพื้นที่ให้ก๊าซจากหินดินดานที่อยู่รอบๆไหลเข้าสู่บ่อ (แนวดิ่ง) มากขึ้น จากนั้น จึงทำการฉีดอัดน้ำหลายล้านลิตร สารเคมีหล่อลื่น และทรายภายใต้แรงดันสูงลงไปเพื่อทำให้หินแตกออก ส่งผลให้มีเทนไหลเข้าสู่บ่อ
          ในเพนซิลเวเนียและที่อื่นๆ การขุดเจาะก๊าซในหินดินดานรุดหน้าไปไกลกว่าความพยายามในการทำความเข้าใจ และ จำกัดผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมดังกล่าวมาก กระนั้นก็ตาม     จนถึงขณะนี้ ผลกระทบของเทคโนโลยีดังกล่าวดูจะน้อยกว่าการทำเหมืองถ่านหินมาก   ซึ่งอย่างหลังทำให้เกิดการปนเปื้อนของแม่น้ำลำธารอย่างหนักในเพนซิลเวเนีย ขณะที่ยอดเขาหลายยอดในเวสต์เวอร์จิเนียถูกไถปราบจนราบ และคนงานเหมืองถ่านหินในสหรัฐฯยังสังเวยชีวิตปีละหลายร้อยคนโดยส่วนใหญ่เกิด จากโรคปอดดำ (black lung disease) การเปรียบเทียบนี้มีนัยสำคัญเพราะก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูกทำให้การใช้ถ่าน หินลดลง        ย้อนหลังไปเพียงปี 2007 ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเกือบครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหินลดลงเหลือร้อยละ 34
          ก๊าซ ธรรมชาติไม่เหมือนถ่านหินตรงที่เผาไหม้โดยไม่ปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์    ปรอท        หรือละอองธุลีสู่บรรยากาศ และไม่มีขี้เถ้า มิหนำซ้ำยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียงแค่ครึ่งเดียว รายงานเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกที่สำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ หรืออีพีเอ (Environmental Protection Agency: EPA)      รวบรวมไว้ชี้ว่า เมื่อปี 2010 สหรัฐฯปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าปี 2005 คิดเป็นปริมาณกว่า 400 ล้านตัน หรือร้อยละ 7
          เว้น เสียแต่ว่ามีก๊าซมีเทนรั่วไหลสู่บรรยากาศมากเกินไป   ขณะที่การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของสหรัฐฯลดลงในช่วงปี 2005 ถึง 2010 แต่การปล่อยก๊าซมีเทนกลับเพิ่มสูงขึ้น อีพีเอชี้ว่าเมื่อถึงปี 2010 ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอาจเทียบเคียงกับศักยภาพในการก่อภาวะโลกร้อนเท่ากับการ ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 40 ล้านตัน ซึ่งหมายความว่าการปล่อยก๊าซมีเทนที่เพิ่มขึ้นทำให้ประโยชน์ที่เกิดจากการลด การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หดหายไปร้อยละ 10
          หาก พิจารณาจากตัวเลขของอีพีเอแล้ว วิธีการแฟรกกิ้งยังคงเป็นวิธีที่ดีสำหรับภูมิอากาศ (เมื่อเทียบกับการทำเหมืองถ่านหิน) แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนเห็นต่างโดยบอกว่า อีพีเอประเมินการปล่อยมีเทนและที่สำคัญคือศักยภาพในการก่อภาวะโลกร้อนของ โมเลกุลมีเทนแต่ละโมเลกุลต่ำกว่าความเป็นจริง พวกเขาแย้งว่า   มีเทนที่รั่วจากบ่อขุดเจาะ ท่อส่ง เครื่องเพิ่มความดันก๊าซ และถังเก็บ ทำให้ก๊าซมีเทนจากหินดินดานส่งผลเสียต่อสภาพอากาศยิ่งกว่าถ่านหิน
          กฎ ระเบียบใหม่ที่อีพีเอประกาศใช้ในปีนี้กำหนดให้อุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติต้อง วัดและลดปริมาณการปล่อยก๊าซลง การรั่วไหลสูงสุดจุดหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อการขุดเจาะด้วยวิธีแฟรกกิ้งแล้วเสร็จ และของเหลวภายใต้แรงดันสูงจากกระบวนการแฟรกกิ้งไหลย้อนกลับขึ้นไปในบ่อพร้อม กับมีเทน กฎใหม่กำหนดให้บริษัทผลิตก๊าซเริ่มดักจับมีเทนดังกล่าวภายในปี 2015
          ผู้ เชี่ยวชาญบางคนเห็นว่า การดักจับมีเทนเป็นโอกาสอันดียิ่ง โดยให้เหตุผลว่าทำได้ง่ายกว่าการควบคุมปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อชะลอภาวะ โลกร้อน อย่างน้อยก็ในระยะสั้น เพราะมีเทนเพียงน้อยนิดก็สร้างความแตกต่างใหญ่หลวงได้ และมีเทนยังเป็นเชื้อเพลิงล้ำค่าอีกด้วย ตัวอย่างเช่น จีนซึ่งเป็นผู้ผลิตถ่านหินรายใหญ่ ปล่อยมีเทนปริมาณมหาศาลจากเหมืองเพื่อป้องกันการระเบิด ในช่วงทศวรรษ 1990 สมัยที่มุฮัมมัด เอล-อัชรี นักธรณีวิทยาชาวอียิปต์เป็นผู้บริหารองค์กรสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Facility) ที่ องค์การสหประชาชาติและธนาคารโลกก่อตั้งขึ้น เขาได้มอบเงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้โครงการต่างๆที่ผันมีเทนจากเหมืองหลายแห่งของจีนไปเป็น เชื้อเพลิงให้บ้านเรือนหลายพันหลังในย่านใกล้เคียง เอล-อัชรีบอกว่า ทั่วโลกมีโครงการเช่นนี้รอการสนับสนุนเงินทุนอยู่อีกหลายร้อยโครงการ




วิกฤตการณ์พลังงาน

-->
วิกฤตการณ์พลังงาน
              
           จากการศึกษาของนักวิทยา ศาสตร์ชาวอเมริกันในปี 2531 พบว่า พลังงานจากแหล่งน้ำมันดิบทั่วโลกที่ได้มีการสำรวจค้นพบและสำรวจพิสูจน์กัน เรียบร้อยแล้วมีอยู่ไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบอัตราการใช้ของประชากรทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ และถ้าหากว่าอัตราการใช้ยังไม่เปลี่ยนแปลงเท่ากับปี 2531 แล้ว เชื่อว่าน้ำมันดิบที่มีอยู่ในตามแหล่งสำรองต่าง ๆ ที่มีในโลก จะหมดไปภายในปี 2571 คืออีก 32 ปี ข้างหน้านั่นเอง
                นั่นเป็นการคาดการณ์ก่อน ที่จะมีวิกฤตการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งบ่อน้ำมันดิบจำนวนมากได้รับความเสียหายจากการต่อสู้ในสงครามครั้งนั้น ฉะนั้นในปี พ.ศ.2535 เป็นต้นไป เชื่อว่าแหล่งน้ำมันดิบต่าง ๆ ในโลก จะมีให้ใช้อยู่ในอัตราไม่เกิน 35 ปี แล้วก็คงจะต้องหมดไป ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ การใช้พลังงานของเราก็ควรจะต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีก
                 
        ทั้งนี้เนื่องจากน้ำมัน เชื้อเพลิงที่ใช้ภายในประเทศ ส่วนใหญ่ได้มาจากการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานได้รายงานว่า น้ำมันดิบที่นำเข้าสู่การกลั่นเพื่อให้ได้น้ำมันสำเร็จรูปชนิดต่าง ๆ นั้น ทุก ๆ 100 ตัน ได้มาจากการนำเข้าต่างประเทศมากถึง 83 ล้าน และจากแหล่งภายในประเทศเพียง 17 ตัน โดยที่การนำเข้านั้น ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย ขณะที่น้ำมันดิบทั้งหมดที่นำเข้าสู่การกลั่น สามารถผลิตเป็นน้ำมันสำเร็จรูปตอบสนองความต้องการได้เพียงร้อยละ 38 จะต้องนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียน โดยมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปในปี 2533 เพิ่มมากขึ้นจากปี 2532 ถึงร้อยละ 40
                 
           ประกอบกับการผลิตจัดหาและ จำหน่ายพลังงานในประเทศไทย เป็นไปอย่างไม่เหมาะสมและมุ่งเน้นเรื่องการผลิตและบริโภค ขาดการสร้างจิตสำนึกที่ถูกต้องในด้านการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พลังงานในประเทศร่อยหรอลง ถึงแม้จะมีแหล่งสำรวจค้นพบได้เองในประเทศไทยก็ตาม แต่ว่าแหล่งที่มีอยู่ก็จะต้อง หมดไปในไม่ช้า เนื่องจากว่าอัตราการใช้ได้เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
                พลังงานที่มีการใช้อยู่ ตามบ้านเรือนขณะนี้ก็ได้แก่ พลังไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม เป็นส่วนซึ่งทำให้แหล่งพลังงานที่มีอยู่มีการหมดไป นอกจากนี้ขบวนการที่ได้มาซึ่งพลังงานเหล่านั้น มักจะทำให้เกิดปัญหามลภาวะ และปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เช่น การผลิตกระแสไฟฟ้าจากการใช้ถ่านหิน น้ำมันเชื้อเพลิง หรือก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ก็จะทำให้เกิดการปล่อยสารพิษออกมา ทำให้เกิดการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม
                โดยการเผาไหม้ของวัสดุ พลังงานต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนนอกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และฝุ่นละอองต่าง ๆ ทำให้สภาพแวดล้อมที่อยู่โดยรอบแหล่งผลิตพลังงาน แหล่งแปลงรูปพลังงานเสื่อมโทรมลงอย่างรวมเร็ว
                ถ้าเป็นอย่างนี้ทำให้เรา เห็นได้ว่า การใช้พลังงานของเราแต่ละครั้ง ไม่ว่าเป็นการเปิดไฟ การใช้ไฟฟ้าเพื่อความบันเทิงความสุขสบาย การปรับอุณหภูมิในห้องปรับอากาศอะไรก็แล้วแต่ แต่ละครั้งที่ใช้มีมลภาวะเกิดขึ้น แล้วเราเองก็ได้รับความสบายมีความสุข การมีความสุขสบายในช่วงที่เรามีชีวิตอยู่นี้ ทำให้ลืมคิดไปว่าแท้จริงแล้ว เราไม่มีพลังงาน ไม่มีทรัพยากรส่วนนี้เหลือไว้ให้กับอนุชนรุ่นหลังเลย ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ การใช้พลังงานของเราจะทำให้เกิดมลภาวะตกค้างไปยังอนุชนรุ่นหลังอีกด้วย
                นอกจากจะเอาทรัพยากรของ เรา ซึ่งจะต้องมีใช้ในอนาคตมาใช้ในปัจจุบันจนเกือบหมดแล้ว สิ่ง ที่เหลืออยู่สำหรับใช้ลูกหลานที่ต้องตามมาแก้ไขคือ ปัญหาเรื่องมลพิษที่ตกค้างอยู่ตามแหล่งต่าง ๆ และเป็นอันตรายและยากที่จะแก้ไขเป็นอย่างยิ่ง
                ส่วนแนวทางที่จะปฏิบัติ แก้ไขได้ก็คือว่า ลดการใช้พลังงาน ลดการเดินทางลงมาอย่างรวมเร็วที่สุด อันดับที่สองก็คือว่าหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานสิ้นเปลืองหรือการใช้พลังงาน ที่ไม่มีเหตุผลหรือมีเหตุผลไม่เพียงพอ เช่น การประดับสถานที่ด้วยหลอดไฟชนิดต่าง ๆ เราสามารถทำได้ดีกว่านั้นคือการประดับประดาด้วยวัสดุอย่างอื่น เพื่อทำให้เกิดการดึงดูดใจเป็นที่สนใจกับผู้ที่ผ่านมาหรือผู้ที่พบเห็น ประการที่สาม ก็คือหลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงานทุกรูปแบบ ก็คือการที่มีการใช้พลังงานโดยเปิดไฟทิ้งไว้โดยไม่มีผู้ใดอยู่ในเขตนั้น ขอให้ปิดไฟ หรือมีการเปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้แต่ไม่มีผู้ที่ใช้อยู่ในบริเวณนั้นก็ ขอให้ปิดเครื่องด้วย ในกรณีที่เป็นการลดการสูญเสียอีกประการหนึ่งก็คือ ในเรื่องการสูญเสียนี้ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการใช้หลอดไส้ทุกชนิด ให้หันมาใช้หลอดประหยัดพลังงานจะทำให้การใช้ไฟเพื่อแสงสว่าง นั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ประการที่สี่ คือให้เลือกใช้อุปกรณ์เครื่องไฟฟ้า ที่มีประสิทธิภาพพลังงานสูง เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงานในทุกรูปแบบด้วยกัน ประการที่ห้า จะต้องสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้น คือสิ่งที่ได้พยายามทดลองปฏิบัติด้วยตัวเองจนเกิดเป็นผลที่พอใจและได้ผลตาม ที่ต้องการแล้ว ก็นำเอาความคิดความเข้าใจเหล่านั้นมาเผยแพร่ให้กับคนใกล้ชิดได้รับทราบ เพื่อนำไปปฏิบัติต่อไปด้วย
                จะเห็นได้ว่าพลังงานที่มี อยู่ไม่ได้มากอย่างที่คิดเลย นอกจากนี้พลังงานที่มีเมื่อเอามาใช้ก็มีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นพลังงานไม่ได้มีเหลือเผื่อเอาไว้ให้คนรุ่นหลังอีกต่อไป เมื่อเป็นอย่างนี้เรารู้ว่าเราคือต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริงของการร่อยหรอ และการหมดไปของทรัพยากรพลังงาน ดังนั้น เราจะต้องหาทางที่ต้องลดการร่อยหรอ การหมดสิ้นไปของทรัพยากรพลังงานเหล่านี้ ด้วยการร่วมมือร่วมใจกันประหยัดพลังงาน

Nationnal Geographic ธันวา 2555

 
Nationnal  Geographic

นกปักษาสวรรค์







เมื่อเก้าปีก่อน ชายสองคนเริ่มต้นภารกิจค้นหาอันน่าทึ่ง นั่นคือ การออกตามหาและบันทึกภาพนกปักษาสวรรค์ในตำนานทั้งหมด 39 ชนิดเป็นครั้งแรก  หลังการสำรวจ 18 ครั้ง และภาพถ่ายกว่า 39,000 ภาพ ความฝันของทั้งคู่ก็เป็นจริง
ใน นิวกินีจิงโจ้ปีนต้นไม้ และผีเสื้อตัวโตพอๆกับจานร่อนบินว่อนไปทั่วป่าดิบชื้นที่ซึ่งสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนมออกลูกเป็นไข่วิ่งเพ่นพ่านไปตามพื้นดินเฉอะแฉะ กบมีจมูกยาว และแม่น้ำอุดมไปด้วยปลาสายรุ้ง
แต่ ไม่มีสัตว์น่าพิศวงชนิดใดในนิวกินีที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลงใหลได้มากเท่า กับสิ่งมีชีวิตที่อัลเฟรด  รัสเซล วอลเลซ นักธรรมชาติวิทยาสมัยศตวรรษที่สิบเก้าเรียกว่า “เจ้าของเรือนขนที่งดงามและน่าอัศจรรย์ที่สุดในโลก” นั่นคือนกปักษาสวรรค์อีกแล้ว
นก ปักษาสวรรค์ทั้ง 39 ชนิดพบได้เฉพาะบนเกาะนิวกินีและพื้นที่ใกล้เคียงอีกเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น แม้จะมีการสำรวจและวิจัยนกดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ยังไม่มีใครเคยเห็นพวกมันครบทั้ง 39 ชนิดจนกระทั่งบัดนี้                
เมื่อปี 2003 เอดวิน สโกลส์  นักปักษีวิทยาจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์  และทิม เลเมน นักชีววิทยาและช่างภาพ  เริ่มวางแผนภารกิจค้นหาและบันทึกภาพนกปักษาสวรรค์ทุกชนิดพันธุ์  พวกเขาใช้เวลา 8 ปีและการสำรวจ    18 ครั้งในดินแดนแปลกตาที่สุดบางแห่งของโลก  จนสามารถเก็บภาพการเกี้ยวพาราสีและพฤติกรรมที่วงการวิทยาศาสตร์ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
ในโลกธรรมชาติคงมีความอัศจรรย์อีกเพียงไม่กี่อย่างที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับพฤติกรรมการเกี้ยวพาราสีของนกเพศผู้ในวงศ์  Paradisaeidae  ตั้งแต่การแพนเรือนขนสีทองอร่าม  การเริงระบำที่แลดูชวนขัน  ไปจนถึงขนและแผงคอสีเหลือบรุ้ง และสีสันที่เจิดจรัสยิ่งกว่าอัญมณี  ความวิลิศมาหราทั้งหมดนี้บังเกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้น  นั่นคือการดึงดูดความสนใจของนกเพศเมีย
นกปักษาสวรรค์เป็นตัวอย่างสุดขั้วของทฤษฎีการคัดเลือกทางเพศ (Sexual Selection) ของชาร์ลส์ ดาร์วิน กล่าวคือ เพศเมียจะเลือกคู่โดยตัดสินจากลักษณะพิเศษบางอย่างที่ดึงดูดใจ  ซึ่งทำให้ลักษณะสืบสายพันธุ์เหล่านั้นมีโอกาสถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมากขึ้น  ความ ที่นิวกินีมีแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์และแทบไม่มีศัตรูผู้ล่า นกเหล่านี้จึงแพร่ขยายพันธุ์ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ลักษณะสืบสายพันธุ์อันโดดเด่นสำแดงออกมาแทบจะเรียกได้ว่าไร้ขีด จำกัด
เลเมนและสโกลส์ตั้งเป้าที่จะบันทึกภาพนกเหล่านี้ในลักษณะที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน  นั่นคือ ถ่ายจากมุมมองของนกเพศเมีย  บนเกาะบาตันตาทางตะวันตกของนิวกินี  เลเมนต้องปีนป่ายถึง 50 เมตรขึ้นไปยังเรือนยอดของป่าดิบชื้นเพื่อถ่ายภาพพฤติกรรมการเกี้ยวพาราสีของนกปักษาสวรรค์สีแดง  ส่วน บนคาบสมุทรฮิวออน ห่างออกไปทางตะวันออกราว 2,000 กิโลเมตร เขาติดตั้งกล้องถ่ายภาพไว้บนกิ่งไม้โดยทำมุมกดลงเพื่อให้ได้มุมมองของนกเพศ เมียที่เห็นแผงขนอกสีสันสดใส และแผ่เป็นจีบรอบของนกพาโรเทียวาห์เนสเพศผู้
แม้ทั้งคู่จะมีประสบการณ์ภาคสนามในพื้นที่เขตร้อนมาแล้วก่อนที่จะเริ่มภารกิจครั้งนี้   แต่ไม่มีใครคาดคิดถึงการผจญภัยที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า  พวกเขาต้องนั่งหลังขดหลังแข็งไปกับเฮลิคอปเตอร์  และเดินป่าเป็นระยะทางไกลๆไปตามเส้นทางที่น้ำท่วมขัง   ต้องลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเลถึงสองครั้งสองคราเมื่อเครื่องยนต์เรือเสีย  รวมๆแล้วพวกเขาต้องนั่งเฝ้ารอและเฝ้าดูอยู่ในบังไพรกว่า 2,000 ชั่วโมง  เพื่อแลกกับช่วงเวลาแห่งการค้นพบอันน่าตื่นตา
การพบเห็นนกมานูคอดโจบิขนสีฟ้าและดำเป็นมันวาวเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2011 เป็นการปิดฉากการสำรวจอันยาวนาน  สโกลส์และเลเมนหวังว่าผลงานของพวกเขาจะปลุกกระแสการอนุรักษ์ขึ้นในนิวกินี  ที่ ซึ่งถิ่นอาศัยของนกเหล่านี้ได้รับการปกป้องมาจนถึงปัจจุบันเพียงเพราะอยู่ ห่างไกล ดังเช่นที่วอลเลซบันทึกไว้ว่า “ธรรมชาติดูเหมือนจะเตรียมการไว้ทุกขั้นตอนเพื่อให้แน่ใจได้ว่า สมบัติอันล้ำค่าที่สุดเหล่านี้จะไม่สูญเสียคุณค่าไปเพียงเพราะได้มาโดยง่าย”